มัตสึอิจูรินะ(รุ่น1)
การหวนคืนสู่ตำแหน่ง
หากคนที่ขับร้องไม่ใช่ฉันเองล่ะก็นะ
Q : เซนเตอร์ Ikinari Punchline คือจูรินะซังสินะครับ!
A : ใช่แล้วค่ะ! นานพอดูเลยนะคะเนี่ย!
Q : ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้หรือเปล่าครับ?
A : ไม่คิดเลยค่ะ คิดไว้แค่ว่าอาจจะเป็นยูนานะ(โอบาตะยูนะ)รึเปล่าน้า
Q : รู้เรื่องนี้ตอนไหนเหรอครับ?
A : รู้ตอนที่อยู่เกาหลีค่ะ เหมือนจะรู้เพราะว่าเมมเบอร์ส่งคลิปวิดีโอมาบอกว่า 'วันนี้มีประกาศเซมบัตสึล่ะค่ะ' หรือเปล่านะ? ตกใจมากเลยล่ะค่ะ เพราะคิดไว้ว่าการจะกลับมาเป็นเซนเตอร์ที่SKE48อีกครั้งคงจะอีกสักระยะ เลยมีคิดไว้ว่าอีกทีอาจจะเป็นตอนจบการศึกษาเลยรึเปล่านะ
Q : เป็นเพลงแบบไหนเหรอครับ?
A : เป็นเพลงที่มีท่าเต้นออกแนวค่อนข้างเร่าร้อนค่ะ เพราะเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกเท่ๆหน่อย เลยอยากให้ได้ดู MV กันไวๆค่ะ! เนื้อเพลงพูดในมุมมองของผู้ชาย ที่อยากจะครอบครองผู้หญิงคนนึง แต่ผู้หญิงก็ไม่หันมามองเลย เพราะงั้นจู่ๆผู้ชายคนนั้นก็เลยปล่อยหมัดเด็ดออกมา ประมาณว่าอยากจะครอบครอง.. อะไรแบบนี้น่ะค่ะ
Q : ดังนั้นแล้ว ก็เลยชื่อเพลง Ikinari Punchline สินะครับ แล้ว MV ล่ะเป็นยังไงครับ?
A : เต้นกันไม่ได้หยุดเลยล่ะค่ะ ชุดมีทั้งชุดสีแดงวิบวับ กับชุดสีขาวแบบหญิงสาวค่ะ ตอนถ่ายเดี่ยวก็โดนบอกว่า 'เต้นฟรีสไตล์ไปเลยนะครับ' ด้วยค่ะ ตอนถ่ายฉากลิปซิงค์ก็ใส่แรงลงไปมากกว่าปกติเลยล่ะค่ะ
Q : เป็นการเต้นในสไตล์SKE48สินะครับ
A : ใช่แล้วล่ะค่ะ มีซีนที่ราดของเหลวสีทองๆลงบนหัวไหล่กับมือด้วย สนุกมากเลยค่ะ จริงสิ! ผกก.คราวนี้เป็นคนไอจิด้วยล่ะค่ะ เขาก็มีชวนคุยกับเมมเบอร์เรื่องบ้านเกิด ทำให้บรรยากาศสนุกขึ้นมากเลยค่ะ เพราะคนนาโกยะก็จะชอบคนนาโกยะนั่นเองค่ะ
Q : เพราะหนทางสู่ปีที่10ของSKE48อยู่ตรงหน้า เลยยิ่งใส่พลังกันเลยสิครับ?
A : ใส่พลังลงไปเยอะมากค่ะ ส่วนมากจะใช้เวลาเรียนท่าเต้นครั้งแรกกัน4ชม. แล้วก็ซ้อมให้เป๊ะกันอีก2-3ชม. รวมแล้วก็ประมาณ7ชม.ค่ะ แต่คราวนี้ใช้เวลาเรียนท่ากัน5ชม. แล้วก็บวกเพิ่มไปอีก2ชม.ค่ะ พอรวมกันส่วนที่ซ้อมให้สมบูรณ์แบบ ก็เกิน10ชม.ไปเลยล่ะค่ะ
Q : ทุ่มเทแรงกายแรงใจเลยสินะครับเนี่ย?
A : โชคดีที่ไม่มีใครที่ตามไม่ทันเลยค่ะ ทั้งท่าเต้นและตำแหน่งยืนน่ะยากมาก หากแยกแถวออกไปเป็นแนวทแยงได้ไม่ตรงเป๊ะๆล่ะก็ไม่ได้เลยล่ะค่ะ เพราะงั้นนอกจากท่าเต้นก็ต้องบวกตำแหน่งยืนเข้าไปอีก เลยใช้เวลานานค่ะ
Q: เห็น Avex บอกว่า ทางเขาเต็มที่ทั้งการถ่าย MV และถ่ายปกเลยนะครับ เสื้อผ้าก็ทุ่มเทกับเวลาทำ ทั้งการแต่งหน้าก็เรียกได้ว่าร่วมแรงกันเลยทีเดียว
A : คงเป็นเพราะว่าใกล้จะครบ10ปีสินะคะ การร่วมแรงร่วมใจนั้นเมมเบอร์อย่างเราก็สัมผัสได้ค่ะ เลยรู้สึกดีใจมากเลย ต้องขอบคุณจริงๆค่ะที่ลงแรงกับSKE48(หัวเราะ) ช่วงนี้ก็ทั้งจัดคอนเสิร์ตให้ เสื้อผ้าใหม่ๆก็เยอะขึ้นด้วยค่ะ
Q : ถ้าชุดนี้ได้เอาไปให้ตุ๊กตามีมี่จังใส่ก็คงจะดีนะครับ นาโกยะคงจะคึกคักขึ้นมาเลย
A : ถ้างั้นก็ดีน่ะสิคะ!
![]() |
มีมี่จังที่นาโกยะค่ะ |
Q : พอพูดถึงนาโกยะแล้ว ได้คุยกับท่านนายกเทศมนตรี คาวามูระ ทากาชิด้วยสินะครับ
A : ใช่แล้วค่ะ ท่านถามมาว่า 'หลังงานเลือกตั้งจบอยากจะทำอะไร?' ค่ะ เลยขอร้องไปว่า 'หากได้ที่1ล่ะก็ช่วยจัดพาเหรดให้ด้วยเถอะนะคะ' บอกไปแบบนั้นท่านก็ตอบมาค่ะว่า 'ดีเหมือนกันนะ!' ดูท่าทางท่านคงจะหาที่ว่างๆในเมืองที่พอจะจัดพาเหรดให้ได้ค่ะ บอกมาว่า 'พาเหรดครั้งที่1ให้เป็นSKE48เถอะ' ค่ะ
Q : นั่นสุดยอดไปเลยนะครับ ก่อนทีม Chunichi Dragons อีก
A : หากได้เชียร์ทีม Dragons ไปด้วยจะต้องสนุกขึ้นแน่เลยค่ะ!
Q : นั่นสินะครับ(หัวเราะ) แต่ว่า ชุดวิบวับสีแดงนี่หากได้อยู่ในขบวนพาเหรดจะต้องสุดยอดแน่ๆ!
A : เยี่ยมเลย!
Q : หากจะถามอะไรให้เข้ากับชื่อเพลงล่ะก็ ไม่ทราบว่าได้คุยกับโอบาตะซังหรือยังครับ?
A : ยังไม่ได้คุยกันจริงจังเลยค่ะ ก็สงสัยอยู่ว่าเธอจะคิดยังไงนะคะ เรื่องน่าดีใจก็คือ ตอนที่ชูริได้ฟังเพลงนี้แล้วพูดว่า 'นี่คือเพลงของจูรินะซัง' ค่ะ
(ทาคายานะงิที่อยู่แถวนั้นเข้ามาใกล้โดยบังเอิญพอดี)
ชูริ : จริงๆแล้วฉันพูดว่า 'พอได้ฟังเพลงแล้ว เซนเตอร์จะต้องเป็นจูรินะซังเท่านั้น!' ต่างหากล่ะคะ คนอื่นไม่ไหวหรอค่ะ! ไม่สิ จะบอกว่าไม่ไหวก็จะเกินไปหน่อย จะให้พูดยังไงดี...
J : แค่ J คนเดียวเท่านั้น (หัวเราะ)
ชูริ : ฉันว่าเซนเตอร์เพลงนี้ดูจะเหมาะสมกับคนที่ลุคดูผู้ใหญ่หน่อยค่ะ
จำเป็นต้องตั้งเป้าหมาย
และเตรียมพร้อมมุ่งสู่ฝันครั้งใหม่
Q : SKE48กำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่10แล้ว อยากจะให้วงเป็นไปในทิศทางไหนครับ?
A : SKE48น่ะ หากให้พูดถึงความฝันหรือเป้าหมายของตัวเองโดยที่ไม่ต้องเกรงใจกันนั้น ทุกคนจะมุ่งไปยังเป้าหมายเดียวกัน ฉันคิดว่า 'นี่แหละคือSKE48' ค่ะ ฉันคิดว่าตอนนี้เป็นเวลาที่จะพูดแทนสิ่งที่อยู่ในใจของทุกคนได้ค่ะ มันจะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนมั้ยนะ หากจะให้พูดอย่างเป็นรูปธรรมล่ะก็ ก็คือการได้ยืนบนนาโกยะโดมตอนครบรอบ10ปีค่ะ แต่ว่า หากเราบรรลุผลเรื่องนั้นแล้ว ก็รู้สึกว่า แล้วต่อจากนั้นล่ะจะเป็นยังไง หากไม่ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนต่อไปล่ะก็ไม่ได้การแน่ๆค่ะ ฉันคิดว่าครบรอบ10ปีนี่แหละคือการเริ่มต้นของจริง อยากจะค้นหาความฝันหรือไม่ก็เป้าหมายใหม่ค่ะ
Q : ผมคิดว่า การได้จัดคอนเสิร์ตที่นาโกยะโดมเมื่อ4ปีก่อนนั้น ไอ้ความรู้สึกที่ว่าได้บรรลุเป้าหมายเนี่ย ส่วนหนึ่งก็มาจากการยอมรับของเมมเบอร์สินะครับ
A : ฉันก็คิดแบบนั้นนะคะ
Q : กลายเป็นว่าตั้งเป้าหมายเอาไว้เป็นนาโกยะโดมสินะครับ
A : ใช่แล้วค่ะ ถึงจะบอกว่า ก็เคยยืนบนนาโกยะโดมแล้วนี่ ก็ตาม แต่ฉันก็คิดว่านั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด อยากจะทำโดมทัวร์ด้วยค่ะ เพราะอยากให้คนในหลายๆที่ได้พบกับSKE48 คำว่าเป้าหมายใหม่เนี่ย ไม่จำเป็นต้องมีแค่ข้อเดียวนี่คะ โดมทัวร์ก็ดี การได้กลับไปขึ้นงานขาวแดงก็ดีเหมือนกันค่ะ หากได้เคลียร์ไปทีละอย่างได้ก็คงจะดีนะคะ หากไม่มีเป้าหมายแบบนั้นล่ะก็ แฟนๆก็คงจะคิดว่า 'SKE48กำลังมุ่งไปสู่อะไรกันนะ' 'นี่เรากำลังเชียร์พวกเธอไปเพื่ออะไร' แน่ๆเลยค่ะ นั่นไม่ใช่แค่เพราะว่าฉันชอบSKE48 แต่ฉันคิดว่าเพราะเป้าหมายเหล่านั้นเป็นสิ่งล้ำค่าที่เราจะบรรลุมันไปพร้อมๆกับแฟนๆได้ค่ะ
Q : ในกรุ้ปก็จะแบ่งเป็นคนที่ตั้งเป้าหมายและไม่ตั้งเป้าหมาย ช่วงเวลาหลายปีผ่านมานี้ การไม่ตั้งเป้าหมายกลายเป็นเทรนด์ไปเสียแล้ว คิดเห็นอย่างไรบ้างครับ?
A : ฉันเป็นประเภทตั้งเป้าหมายนะคะ ฉันคิดว่านั่นทำให้เราสามัคคีและคึกคักขึ้นมาได้ค่ะ การที่บรรลุเป้าหมายได้มันน่าดีใจออกไม่ใช่เหรอคะ? มันไม่ใช่แค่การไปยืนบนโดม แต่เป็นการไปยืนบนสถานที่ที่เป็นเป้าหมายได้ต่างหากค่ะ ความประทับใจต้องยิ่งใหญ่กว่าอยู่แล้ว ฉันน่ะอยากที่จะมีความสุขและสนุกไปกับทุกๆคนค่ะ ดังนั้นแล้วการตั้งเป้าหมายเป็นเรื่องจำเป็นนะคะ
Q : เพราะเป็นคนที่ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เลยยึดถือไปแล้วว่าเส้นชัยไม่ใช่แค่นาโกยะโดมสินะครับ
A : ฉันก็กำลังคิดเรื่องนั้นอยู่ค่ะ แต่ก็คิดแหละค่ัะว่านาโกยะโดมต้องไม่ใช่จุดจบ ว่าตามจริงแล้วฉันอยากจะทำให้เราเป็นวงที่จัดโดมทัวร์ได้ค่ะ ก่อนอื่นเลยสิ่งที่ต้องทำคือการได้กลับไปยืนบนนาโกะยะโดมของSKE48 หากเรามีพาวเวอร์ขนาดนั้น ฉันคิดว่าเราก็น่าจะสามารถจัดในสถานที่อื่นๆได้เช่นกันค่ะ
ปรีดาในฐานะไอดอล
หว้าเหว่ในฐานะมนุษย์
Q : ต่อไปไม่ใช่เรื่องกรุ้ปแล้ว มาคุยเรื่องส่วนตัวกันดีกว่าครับ การที่จะทำให้กลุ่มแข็งแกร่งได้ตัวเราเองก็ต้องแข็งแกร่งด้วย จูรินะซังมีออพชั่นอะไรที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นได้บ้างครับ?
A : ก็ทั้งงานเลือกตั้งทั่วไปด้วย แล้วก็อยากจะเป็นเซนเตอร์ในซิงเกิ้ลของAKB48ค่ะ
Q : แปลว่าไม่ใช่แค่ซิงเกิ้ลที่จะขายในเดือนกันยาเท่านั้นสินะครับ
A : ค่ะ เป็นเรื่องที่เพิ่งจะคิดเมื่อไม่นานนี้ก็จริงค่ะ แต่ฉันเริ่มต้นมาจากการได้เป็นเซนเตอร์ในซิงเกิ้ล 'Oogoe Diamond' ของAKB48ใช่ไหมล่ะคะ? ก็มีคิดว่า คำว่าเซนเตอร์คืออะไรกันนะ แล้วก็ลองสังเกตุผู้คนหลายๆประเภทที่ได้เป็นเซนเตอร์ค่ะ เหล่ารุ่นพี่ยืนอยู่ในจุดนั้นยังไง แล้วถ้าเป็นรุ่นน้องล่ะจะออกมาเป็นยังไง พอคิดแบบนั้นแล้ว ความกระหายที่อยากจะเป็นเซนเตอร์ก็ค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นค่ะ มันไม่ใช่ที่ที่ใครจะมายืนก็ได้นี่คะ เพราะได้มองแผ่นหลังอันโด่งดังของมาเอดะซัง,ยูโกะซัง,มายุซัง,ซาชิฮาระซังมา ก็เลยยิ่งสัมผัสได้ถึงคุณค่าของการได้เป็นเซนเตอร์ค่ะ ยิ่งเพราะเคยได้ยืนอยู่บนเวทีเดียวกันมาก่อน ฉันก็เลยรู้ดีค่ะ แต่ว่าตำแหน่งเซนเตอร์ของAKB48ในตอนนี้ออกจะแตกต่างออกไป รู้สึกว่าจะเป็นช่วงที่ให้เมมเบอร์หลายๆคนผลัดกันมายืนเซนเตอร์หรือเปล่านะ? แต่เพราะว่าAKB48น่ะมีวิธีการคิดที่ว่า 'จะไม่ทำอะไรที่ธรรมดาๆ' ยึดถือเป็นสำคัญเลยล่ะค่ะ ก็เลยพอจะเข้าใจได้นะคะ แล้วตอนนี้เหล่ารุ่นน้องก็คิดอยากที่จะยืนตำแหน่งเซนเตอร์ คิดว่าตำแหน่งเซนเตอร์ของAKB48น่ะสุดยอดจริงๆก็มีค่ะ เพราะเซนเตอร์ของAKB48 ก็คือเซนเตอร์ของ48กรุ้ปไงล่ะคะ ดังนั้นแล้ว การที่ได้เป็นเซนเตอร์จากการได้ที่1ในงานเลือกตั้งก็สำคัญ แต่จากตรงนั้นเป็นต้นไปฉันก็คิดว่ามันก็สำคัญมากเหมือนกันค่ะ
Q : เพื่อสิ่งนั้นแล้ว ก็เลยจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้คนสินะครับ
A : ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องมาก่อนเลยคือการได้เป็นที่1ในงานเลือกตั้งแล้วได้รับการยอมรับรึเปล่านะ?
Q : นั่นต้องสำคัญอยู่แล้วครับ ถึงจะเป็นเรื่องที่ผมคิดไว้ก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม แต่ผมคิดว่าออพชั่นที่สำคัญสำหรับจูรินะซังอีกอย่างคือการได้ไปออกรายการภาคพื้นน่ะครับ
A : อ๋า~ นั่นสินะคะ
Q : หากทำให้คนอีกหลายๆคนรู้จักมากขึ้นได้ ก็จะสามารถเป็นหน้าตาของกรุ้ปได้ด้วยสินะครับ
A : อยากไปออกมากๆเลยค่ะ! หากจัดตารางงานได้ล่ะก็นะ(หัวเราะ) เห็นว่าคาวาเอย์(รินะ)จังก็เหมือนจะได้ออกรายการ 'A-Studio'อยู่ใช่ไหมล่ะคะ? นั่นน่ะเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากเลยนะคะ
Q : นอกจากนี้แล้วมีอะไรที่จำเป็นอีกไหมครับ?
A : หากมีเรื่องที่ทำได้อีกก็ดีสินะ จนถึงตอนนี้ฉันเอาแต่คิดถึงเรื่องกรุ้ปค่ะ ก็เลยไม่มีงานอดิเรกเป็นของตัวเองเลย ได้โอกาสไปออกTVบ้างก็จริง แต่ตามเรื่องที่เขาคุยๆกันไม่ทันเลยล่ะค่ะ
Q : เป็นเรื่องความรู้ทั่วไปเหรอครับ? หรือว่าเรื่องที่กำลังได้รับความนิยม?
A : ทั้งคู่เลยค่ะ(หัวเราะ)
Q : เพราะว่าตารางงานไม่ว่างเลยสินะครับ
A : ได้รับความเมตตาในฐานะของไอดอลมัตสึอิจูรินะมาตลอดก็จริง แต่ในฐานะของมนุษย์มัตสึอิจูรินะน่ะ เป็นคนขี้เหงานะคะ หากได้เติมเต็มในส่วนนั้นได้ก็คงจะดีค่ะ อยากจะมีงานอดิเรกอื่นนอกจากมวยปล้ำด้วย
Q : อยากเพิ่ม(งานอดิเรก)อะไรเหรอครับ?
A : เพราะการดูกีฬาน่ะสนุกมาก เลยอยากจะรู้ให้ละเอียดในอีกหลายๆแขนงค่ะ การดูเบสบอลก็สนุกนะคะหากมีสโมสรที่เชียร์อยู่ โดยเฉพาะทีมDragons เพราะเป็นทีมที่SKE48เป็นตัวแทนเชียร์อยู่ ก็เลยเชียร์ได้อย่างเต็มที่ แต่จนถึงตอนนี้ก็มีแฟนๆที่เป็นแฟนของทีมอื่นอยู่ ก็เลยพูดยากหน่อยน่ะค่ะ
Q : ได้เข้าไปดูการแข่งขันด้วยสินะครับ
A : ค่ะ การที่ได้เข้าไปนั่งเชียร์น่ะสนุกมากก็จริง แต่ดีใจด้วยค่ะที่ได้เข้าใจจิตใจของแฟนๆ ทำให้รู้ว่า การเชียร์เนี่ย เป็นอะไรที่ใช้พลังกายขนาดนี้เลยนะ หรือไม่ก็ การที่ทีมDragonsชนะทำให้เราดีใจขนาดนี้เลยเหรอ เป็นต้นค่ะ ทั้งการดูการแข่งขันมวยปล้ำและเบสบอล ทำให้ฉันเกิดความคิดอันแรงกล้าแบบนั้นขึ้นมาได้ค่ะ
Q : สุดท้ายนี้ ได้ยินว่ามาจากคอนเสิร์ตที่ไกชิฮอลล์ครับ เป็นความทรงจำที่เกี่ยวกับจูรินะซังครับ
ตอนเพลง 'Oki Doki' บนคอนเสิร์ตรอบเย็น ตอนกลางเพลงได้มีเปลี่ยนคำร้องจาก 'ไปกันเถอะ Oki Doki!' เป็น 'ไปกันเถอะ นาโกยะโดม!' ด้วยนี่ครับ นั่นเป็นแอดลิปใช่ไหมครับ?
A : ใช่แล้วค่ะ! ท่อนนั้นน่ะไม่ค่อยถูกเปลี่ยนคำร้องเลยนะคะ เลยคิดเองว่าท่อนนั้นน่ะห้ามเปลี่ยนค่ะ แต่ว่าวันนั้นจู่ๆก็มีแว้บนึงที่คิดว่า เปลี่ยนคำร้องเถอะ แล้วก็เปลี่ยนมันตอนนั้นเลยค่ะ(หัวเราะ) ทำไมกันนะ? บางทีอาจจะเพราะความรู้สึกที่ว่าเราดูเหมือนจะไปยังนาโกยะโดมได้ล่ะมั้งคะ? เพราะรู้สึกแบบนั้น ก็เลยเผลอพูดออกไปน่ะค่ะ ก็คิดนะคะว่า 'ดีล่ะ งั้นมาพูดออกไปเลย!'
Q : ด้วยคำพูดนั้น ผมว่ามันทำให้บรรยากาศของกรุ้ปกลายเป็นหนึ่งเดียวเลยนะครับ เริ่มต้นจากการที่พูดออกมาว่า 'ไปกันเถอะ นาโกะยะโดม' ในคอนเสิร์ต Unit Battle นั้นน่ะ กลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ไปเลยนะครับ
A : พูดออกไปอย่างชื่นมื่นเลยล่ะค่ะ เพราะคิดว่า 'หากพูดไปละก็จะต้องคึกคักกันแน่ๆ' น่ะค่ะ(หัวเราะ)
หลังจากนั้นในงานจับมือ ก็มีแฟนๆที่มาบอกว่า 'ชั่ววินาทีนั้น เสียงเชียร์ในไกชิฮอลล์น่ะดังที่สุดเลยนะ!' พอได้ยินแบบนั้นแล้วก็ยิ้มกว้างออกมาอีกรอบเลยล่ะค่ะ(หัวเราะ)
ญี่ปุ่น-เกาหลี : @Ruiring632
เกาหลี-ไทย : EARN
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น